ซื้อทองแบบไหนดี(ร้านทอง,ผ่อนทองหรือออมทอง)

01 Apr 2024 | เมื่อ 02:05 น.

 

เพราะ “ทองคำ” ยังคงมี “ราคาทอง” อยู่ที่หลักหมื่นกว่า ทำให้การซื้อแต่ละครั้งอาจต้องเตรียม “เงิน” ให้พร้อมก่อนเสมอ แต่ก็มีรูปแบบการซื้อทองคำให้เลือกอย่าง ร้านทอง, ผ่อนทองหรือออมทอง ซึ่งจะมีข้อแตกต่างหรือข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง

 

ซื้อทองเงินสด เป็นการใช้เงินสดซื้อทันที โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพียงแค่พกเงินสดที่มีไป "ซื้อทองที่ร้านทอง" ในเวลาทำการ, ซึ่งจะได้สัมผัสทองคำจริงๆ, ได้ลองสวมใส่และตรวจสอบการชำรุดหรือเช็คน้ำหนักทองให้ครบ และสามารถกำหนดวัน, เวลาหรือราคาทองที่จะซื้อได้ เช่น ซื้อทองตอนทองลง หรือ ขายทองตอนทองขึ้น, โดยวิธีการซื้ออาจต้องใช้บัตรประชาชนเพื่อยืนยันการซื้อ ขาย 

 

แต่หากเป็นการ "ซื้อทองออนไลน์" เป็นการซื้อขายทองคำผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องเดินไปที่ร้านทอง, สามารถสั่งซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านช่องทางการซื้อ เช่น ไลน์ (Line), เว็บไซต์หน้าร้าน, อินสตาแกรม,เฟสบุคเพจ ฯลฯ,โดยจะต้องบันทึกสลิปโอนเงินไว้เป็นหลักฐานด้วย, และหากต้องการขาย ต้องนำทองคำไปขายที่ร้านทองเท่านั้น ไม่ควรนำส่งทางไปรษณีย์เพราะอาจเกิดการสูญหายได้

    

นอกจากนี้เงินสดที่ดีต้องเป็น “เงินเย็น” ที่ไม่มีภาระต้องนำส่งคืนใครหรือต้องรีบใช้ เช่น เงินเดือน ( กรณีเงินเดือนเยอะ ), เงินเกษียณ, เงินโบนัส, เงินถูกรางวัล (ล็อตเตอรี่,สลากออมสิน, สลาก ธกส ) เป็นต้น ซึ่งหากเป็น “เงินร้อน” เช่น เงินกู้, เงินยืม, เงินจำนำ, จำนอง แม้แต่เงินสดจาก “บัตรกดเงินสด” อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมในการส่งคืน และหากจัดการไม่ดีอาจก่อ"หนี้"ขึ้นได้

 

ซื้อทองเงินผ่อน เป็นรูปแบบการซื้อทองคำที่ตกลงราคากันไว้ก่อน (ล็อคราคา) แล้วทะยอยจ่ายหรือผ่อนจ่ายทีหลัง ซึ่งสามารถเลือกลวดลายและน้ำหนักทอง (ครึ่งสลึง, 1 สลึง, 2 สลึง ,1 บาท) ไว้ล่วงหน้าก่อนได้ โดยการผ่อนจะมีอยู่ 2 แบบคือ

 

"ผ่อนทองกับร้านทอง"  คือ การซื้อทองคำและผ่อนจ่ายกับร้านทองโดยตรง, เป็นรูปแบบ “ผ่อนครบ รับทองทันที“ คือ ชำระราคาทองจนครบจึงค่อยนัดรับทองที่ร้านทอง โดยจะได้ราคาทอง ณ วันที่ทำการซื้อ, ซึ่งส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาผ่อนที่กำหนดไว้คือ 3 เดือน, 6 เดือน เป็นต้น และหากยกเลิกการผ่อนจะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย ซึ่งข้อดีของการผ่อนทองกับร้านทองคือไม่ต้องกังวลเรื่องทองหาย แต่ข้อเสียคือจะไม่ได้ทองคำในทันที

 

"ผ่อนทองกับบัตรเครดิต"  คือ การใช้ “บัตรเครดิต“ รูดซื้อทอง เหมือนรูดซื้อสินค้าทั่วไป  (ต่างจาก “บัตรผ่อนสินค้า” ที่เอาไว้ผ่อนอย่างเดียว) แล้วผ่อนจ่ายคืนผ่านทางธนาคาร โดยเป็นรูปแบบ “รับทองก่อน ผ่อนทีหลัง“ คือได้สินค้าไปใช้ก่อนแล้วแบ่งชำระเป็น “งวด” (รายเดือน)

 

โดยมี “อัตราดอกเบี้ย” ในการผ่อนชำระ คิดเป็น % ต่อเดือน และค่าบริการ (ชาร์จ) 3-5 %  ด้วย ซึ่งมีระยะเวลาในการผ่อนชำระรายเดือนตั้งแต่ 6 เดือน, 10 เดือน (นานสุด 24 เดือน) และบางบัตรมีโปรโมชั่นดอกเบี้ยพิเศษ 0 % หากผ่อนในเวลาที่กำหนด (ส่วนใหญ่ 3 เดือน) หรือมีส่วนลด “ค่ากำเหน็จ”, ”ค่าพรีเมี่ยม” ฟรีค่าธรรมเนียมในการรูดซื้อ เป็นต้น โดยข้อดีของการผ่อนกับบัตรเครดิตคือสามารถซื้อทองน้ำหนักเยอะๆ ได้ เช่น ทอง 1 บาท, ทอง 2 บาท แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ “วงเงิน” ในบัตรอาจไม่พอซื้อ

 

ซื้อทองเงินออม เป็นการใช้ เงินเก็บ, เงินออม ที่ได้เก็บหอมรอมริบมานำไปซื้อทองคำ โดยจะคล้ายๆ กับการซื้อด้วยเงินสด แต่แตกต่างตรงที่จะไม่ทุ่มซื้อครั้งเดียวหมด แต่จะทะยอยซื้อไปเรื่อย ๆ ตามช่วงจังหวะราคาทองถูก หรือตามจำนวนเงินที่เก็บได้ เพราะบางคนมีปัญหา “เก็บเงินไม่อยู่” จึงเน้นราคาทองที่พอซื้อได้เท่านั้น หรือจะเลือกวิธี “ออมทอง” คือ การทยอยซื้อทองคำเก็บสะสมแบบรายเดือน, ใช้วิธีเดียวกับการซื้อหุ้นเก็บ ( ออมหุ้น ) แบบ ถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA ( dollar cost averaging ) คือกำหนดจำนวนเงินที่จะซื้อทองในแต่ละเดือน, ซื้อโดยไม่สนใจราคาทอง, เมื่อออมจนครบตามน้ำหนักหรือราคาทองที่ต้องการก็สามารถเบิกทองคำมาเก็บไว้ได้

 

อ่านบทความ "ทองคำแบบไหน?เหมาะสำหรับซื้อเก็บหรือลงทุน" คลิก